วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การสร้าง Model





By Computer For Kids

การใช้เครื่องมือ Push/Pull,Move,Rotate,Offset,Orbit and Pan


 By  Computer  For Kids

การใช้เครื่องมือ Arc ,Polygon ,Freehand ,Paint Bucket


By Computer for Kids

การใช้เครื่องมือ Rectangle ,Line , Circle






By Computer For Kids

แนะนำโปรแกรม Google Sketchup 8



by Computer For Kids

Mask Layer


Guide Motion



Motion Tween


Shape Tween


Frame by Frame


การสร้างภาพกราฟฟิก


ส่วนประกอบของ Flash CS3



ทำความรู้จักกับ Adobe Flash CS3




วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

3G คืออะไรแล้วทำอะไรได้บ้าง ?

3G คืออะไร?
 
ก่อนจะมาถึงยุค 3G       
          โทรศัพท์มือถือที่เราใช้งานกันอยู่ทุกวันนี้มีวิวัฒนาการมาโดยตลอดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน โดยแบ่งเป็นยุคหรือเจเนอเรชั่น (Generation) ต่างๆ ดังนี้
          เจเนอเรชันที่ศูนย์ (0G) เป็นยุคของโทรศัพท์เคลื่อนที่ก่อนระบบเซลลูลาร์ เป็นโทรศัพท์ที่ใช้คลื่นวิทยุในการสื่อสารยุคแรก เช่น โทรศัพท์ที่ใช้กันในรถยนต์
          เจเนอเรชันที่หนึ่ง (1G) เป็นการเริ่มต้นการใช้ระบบสื่อสารแบบเซลลูลาร์ มีข้อจำกัดอยู่ที่จำนวนสัญญาณ เพราะว่ามีจำนวนช่องสัญญาณที่น้อย ทำให้ติดขัดในเรื่องของการขยายจำนวนหมายเลขในอนาคต ดังนั้นต่อมาจึงได้มีการพัฒนาระบบดิจิตอลขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาช่องสัญญาณที่จำกัด
          เจเนอเรชันที่สอง (2G) มีการพัฒนาโดยนำระบบดิจิตอลเข้าสู่โลกการสื่อสารไร้สาย นั่นคือมีการส่งสัญญาณในระบบดิจิตอล ซึ่งช่วยเพิ่มคุณภาพของสัญญาณ รวมทั้งยังทำให้สามารถรองรับจำนวนผู้ใช้ได้มากขึ้น ในยุคนี้มีความต้องการสื่อสารข้อมูลประเภทที่ไม่ใช่เสียงอย่างเดียวเกิดขึ้นด้วย ซึ่งโทรศัพท์มือถือในยุคนี้สามารถใช้บริการ SMS ได้แล้ว
          เจเนอเรชันที่ 2.5 และ 2.75 (2และ 2.75G) พื้นฐานของโทรศัพท์มือถือยุคนี้ยังคงเหมือนกับยุคที่สอง โดยเพิ่มความสามารถในการสื่อสารข้อมูลอื่นๆ เช่น GPRS (General Packet Radio Service) และ EDGE (Enhanced Data Rate for GSM Evolution) ลักษณะของโทรศัพท์มือถือยุคนี้ คือ หน้าจอสี และมีกล้องถ่ายรูป
          เจเนอเรชันที่ 3 (3G)  เป็นเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการด้านการรับส่งข้อมูลที่มากขึ้น ซึ่งถึงแม้ว่าเครือข่ายโทรศัพท์ เคลื่อนที่ในยุค 2.5G/2.75G จะสามารถให้บริการแก่ลูกค้าในเรื่องของรับส่งข้อมูลแล้วนั้น แต่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องความเร็วในการรับส่งข้อมูลอยู่
          สำหรับเครือข่ายที่เป็น 3จะถูกกำหนดโดย ITU (International Telecommunication Union) โดยใช้มาตรฐานที่เรียกว่า IMT-2000 (International Mobile Telecommunications-2000) ซึ่งระบบที่เป็น ไปตามมาตรฐาน IMT-2000 มีดังนี้
 
มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G
            UMTS (Universal Mobile Telecommunications Services) เป็นมาตรฐานที่ออกแบบมาสำหรับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้นำไปพัฒนาจากยุค 2G/2.5G/2.75G ไปสู่มาตรฐานยุค 3อย่างเต็มตัวมีเทคโนโลยีหลักที่ปัจจุบันมีการยอมรับใช้งานทั่วโลกคือมาตรฐาน W-CDMA (Wideband Code Division Multiple Access) ซึ่งจะทำงานบนแถบความถี่กว้างที่ 10MHz โดยใช้ช่องความถี่สำหรับการส่งและรับสัญญาณระหว่างเครื่องมือถือกับสถานีฐานช่องละ 5 MHz สามารถรับ-ส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุดถึง 2 Mbps
                W-CDMA เป็นระบบ 3ของฝั่งระบบ GSM การพัฒนาไปเป็น 3จะต้องเปลี่ยนระบบให้เป็น W-CDMAดังนั้น เราจึงเรียก W-CDMA ว่าเป็นระบบ 3ของฝั่ง GSM
          จุดเด่นของมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบ W-CDMA
          1. เครือข่าย W-CDMA รับประกันคุณภาพในการรองรับข้อมูลแบบ Voice และ Non-Voice โดยที่คุณภาพเสียงจากการใช้งานเครือข่าย 3ชัดเจนกว่าหรืออย่างน้อยเทียบเท่าการสนทนาผ่านเครือข่าย 2ส่วนการรับส่งข้อมูลแบบ Non-Voice จะเร็วกว่าการใช้งานผ่านเครือข่าย 2.5G/2.75G มาก
          2. W-CDMA เป็นมาตรฐานเปิดซึ่งได้รับการพัฒนาโดยกลุ่ม 3GPP ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับผู้พัฒนามาตรฐานGSM
          3. มาตรฐาน W-CDMA เป็นมาตรฐานโลกซึ่งจะเข้ามาแทนที่เครือข่ายในตระกูล GSM เช่นเดียวกับเมื่อตอนที่เครือข่าย GSM เข้ามาแทนที่เครือข่าย 1เมื่อกว่า 10 ปีที่ผ่านมา
          4. W-CDMA เป็นมาตรฐานสื่อสารไร้สายชนิดเดียวที่มีรูปแบบการทำงานแบบแถบความถี่กว้าง (Wideband) อันนำมาซึ่งประสิทธิภาพในการขยายพื้นที่ให้บริการที่ครอบคลุมได้เป็นวงกว้าง พร้อมๆกับความสะดวกในการขยายขีดความสามารถเพื่อรองรับข้อมูลข่าวสารได้ดียิ่งขึ้น
          5. กลไกการทำงานภายในเครือข่าย W-CDMA เป็นไปตามมาตรฐานสากล
          6. มีแนวทางในการพัฒนาขีดความสามารถให้รองรับการสื่อสารข้อมูลที่มีอัตราความเร็วสูงขึ้น เช่น การพัฒนาสู่มาตรฐาน HSDPA ที่รองรับการสื่อสารข้อมูลด้วยอัตราความเร็วที่สูงมากถึง 14 Mbps
          7. ในอนาคตมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3มีทิศทาง การพัฒนาที่ชัดเจนในการรวมตัวกับมาตรฐานสื่อสารไร้สายชนิดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐาน Wireless LAN หรือแม้กระทั่ง Wi-Max ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
            CDMA2000 เป็นการพัฒนาเครือข่าย CDMA ให้รองรับการสื่อสารในยุค 3มีเทคโนโลยีหลักคือCDMA2000-3xRTT ที่มีศักยภาพเทียบเท่ากับมาตรฐาน W-CDMA เป็นที่รู้จักอีกชื่อหนึ่งว่า IS-2000
                CDMA2000 เป็นเทคโนโลยี 3ที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุดในโลก โดยมีจำนวนผู้ให้บริการกว่า 258 รายใน 98ประเทศ และผู้ใช้บริการมากกว่า 438 ล้านราย CDMA2000 เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญสำหรับผู้ให้บริการเครือข่าย สามารถทำงานบนแถบความถี่ 45070080017001900, AWS และ 2100 MHz
            TD-SCDMA (Time Division Synchronous Code Division Multiple Access) เป็นหนึ่งในสามของเทคโนโลยีระบบ CDMA ที่มีมาตรฐานการสื่อสารในระดับ 3ที่ได้รับการรับรองโดย ITU ถูกพัฒนาและใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศจีน

ลักษณะการทำงานของ 3G
          เทคโนโลยี 3มีช่องสัญญาณความถี่ และความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่าเดิม ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลแอพพลิเคชั่น รวมทั้งบริการระบบเสียงดีขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการมัลติมีเดียได้เต็มที่ และสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น เช่น บริการส่งแฟกซ์โทรศัพท์ต่างประเทศรับ-ส่งข้อความที่มีขนาดใหญ่การประชุมทางไกลผ่านหน้าจออุปกรณ์สื่อสารดาวน์โหลดเพลง รวมไปถึงการชมภาพยนตร์แบบสั้นๆผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือ

ประโยชน์ของ 3G
          3ช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายและคล่องตัวขึ้น โดยโทรศัพท์เคลื่อนที่เปรียบเสมือน คอมพิวเตอร์แบบพกพาวิทยุส่วนตัว รวมทั้งกล้องถ่ายรูป ผู้ใช้สามารถเช็คข้อมูลใน Account ส่วนตัว เพื่อใช้บริการต่างๆผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น ตรวจสอบค่าใช้บริการแก้ไขข้อมูลส่วนตัว และ ใช้บริการข้อมูลต่างๆ เช่น ข่าวเกาะติดสถานการณ์ข่าวบันเทิงข้อมูลการเงินข้อมูลการท่องเที่ยว และ ตารางนัดหมายส่วนตัว

จุดเด่นของ 3G
          จุดเด่นที่สุดของ 3คงหนีไม่พ้นความเร็วในการเชื่อมต่อ และส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง เน้นการติดต่ออย่างสมบูรณ์แบบ เช่น การประชุมทางไกลดาวน์โหลด Contents หรือ Applications ต่างๆการตรวจสอบเส้นทาง ซึ่งจะทำให้ชีวิตสะดวกสบายยิ่งขึ้น 3ทำให้เราสามารถติดต่อกันได้อย่างรวดเร็วฉับไว เพิ่มความสะดวกสบายให้กับการดำเนินชีวิต และหัวใจหลักอย่างการเป็นระบบ Always on  นั่นคือไม่จำเป็นต้องต่อโทรศัพท์เข้าเครือข่าย และล็อกอินทุกครั้งเพื่อใช้บริการรับส่งข้อมูล ซึ่งการเสียค่าบริการแบบนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลผ่านเครือข่ายเท่านั้น โดยจะต่างจากระบบทั่วไป ที่จะเสียค่าบริการตั้งแต่เราล็อกอินเข้าในระบบเครือข่าย